สายสะดือพันคอ จะรู้ได้อย่างไร? อันตรายไหม?
คุณแม่คงเคยได้ยิน “สายสะดือพันคอ” กันมาบ้างแล้ว ภาวะนี้ถือเป็นภาวะแทรกซ้อนอย่างหนึ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ในระหว่างการตั้งครรภ์ โดยที่ตัวคุณแม่เองแทบจะไม่รู้ตัว คงสงสัยว่าสายสะดือพันคอทารกเกิดขึ้นได้อย่างไร ควรสังเกตอย่างไร และจะเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ไหม วันนี้กิฟท์มีข้อมูลมาฝากกันค่ะ
สายสะดือ คืออะไร?
สายสะดือ หรือสายรก คืออวัยวะเดียวกัน ทางสรีรวิทยาและพันธุกรรมถือว่าสายสะดือเป็นส่วนหนึ่งของตัวอ่อน/ทารก เป็นอวัยวะที่เชื่อมระหว่างรกที่ฝังตัวอยู่ในมดลูกของแม่กับสะดือบริเวณหน้าท้องของทารกในครรภ์ ซึ่งร่างกายเริ่มสร้างเมื่อมีอายุครรภ์ครบ 5 สัปดาห์ เป็นอวัยวะที่แลกเปลี่ยนอาหารและออกซิเจนระหว่างแม่และทารกในครรภ์ และภาวะแทรกซ้อนที่สายสะดือพันคอทารกนั้นสามารถพบได้เป็นปกติถึง 15 – 35 เปอร์เซ็นของการตั้งครรภ์
สายสะดือพันคอทารก มีปัจจัยอะไรบ้าง?
สายสะดือพันคอทารก (Nuchal cord) พบได้ 1 ใน 3 ของทารก แต่เมื่อคลอดออกมาแล้วทารกมีร่างกายอุดมสมบูรณ์ดี สาเหตุที่อาจส่งผลให้สายสะดือพันคอทารก มีดังนี้
ทารกดิ้นมากกว่าปกติ
ถือเป็นสาเหตุหลักของสายสะดือพันคอเลยก็ว่าได้ เมื่อทารกดิ้นมากเกินไปทำให้อวัยวะบางส่วนไปคล้องเกี่ยว หรืออาจจะเป็นส่วนของศรีษะไปรอดคล้องกับสายรก
สายสะดือที่ยาวผิดปกติ
เนื่องจากสายสะดือมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-2 เซนติเมตร และยาวประมาณ 50 เซนติเมตร บางท่านสั้นกว่านั้น ในขณะที่บางท่านอาจยาวมากกว่า 100 เซนติเมตร แต่อย่างไรก็ตาม สายสะดือที่สั้นผิดปกติอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนในการตั้งครรภ์ประเภทอื่น ๆ ได้เช่นกัน
ความผิดปกติและความไม่สมบูรณ์ของสายสะดือ
เช่นในเด็กบางรายที่มีสายสะดือที่ยาวหรือไม่สมบูรณ์ก็จะยิ่งส่งผลให้สายสะดือพันคอทารกได้ง่ายขึ้น
มีฝาแฝดร่วมครรภ์ หรือมากกว่านั้น
ปกติแล้วทารกจะมีการเคลื่อนไหวอยู่ภายในท้องของคุณแม่เกือบตลอดเวลา ดังนั้น การมีลูกแฝดและหากขาดการดูแลที่ดีอาจมีความเสี่ยงที่สายสะดือจะพันคอทารก เสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้
น้ำคร่ำมากเกินไป
ส่งผลให้ทารกในครรภ์มีการเคลื่อนไหวได้ง่าย และมากขึ้น จึงส่งผลให้สายสะดือพันคอได้
สายสะดือพันคอทารก แบบไหนอันตราย?
สายสะดือทำหน้าที่ส่งเลือดที่มีออกซิเจน และสารอาหารต่าง ๆ จากแม่ไปสู่ทารก และเป็นตัวกลางลำเลียงเลือดที่ขาดออกซิเจนและสารอาหารกลับคืนสู่รก ซึ่งหากมีปัญหาที่สายสะดือมีการถูกบีบรัด หรือมีการจำกัดหลอดเลือดแดง และพันอยู่รอบตัวหรือคอทารก อาจนำไปสู่การเกิดภาวะขาดออกซิเจนในทารกแรกเกิด (Birth Asphyxia) ซึ่งมีรูปแบบของการพันของสายสะดือ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
ประเภทที่ 1 แบบปลดล็อก
คือการที่ปลายสายสะดือที่เชื่อมกับรกตัดผ่านปลายที่เชื่อมต่อกับทารก ซึ่งอาจปลดล็อก หรือคลายปมได้เองจากการเคลื่อนไหวร่างกายของทารกระหว่างอยู่ในครรภ์แม่
ประเภทที่ 2 แบบล็อค
ปลายสายสะดือที่เชื่อมต่อกับรกมีการไขว้กันตรงส่วนปลายที่เชื่อมกับทารกในครรภ์ แต่มีโอกาสน้อยมากที่สายสะดือจะคลายปมออกได้ด้วยการเคลื่อนไหวร่างกายของทารก และยิ่งทำให้เป็นปมผูกแน่น (True Knot) มากขึ้น
จะรู้ได้อย่างไรว่าสายสะดือพันคอลูก
เมื่ออายุครรภ์ประมาณ 28 สัปดาห์เป็นต้นไป คุณแม่สามารถสังเกตการดิ้นของทารกในครรภ์ได้มากขึ้น ทารกจะดิ้นมากถึง 264 ครั้งต่อวัน ดังนั้น การสังเกตว่าสายสะดือพันคอลูกหรือไม่ ให้คุณแม่นับอย่างคร่าวๆได้ ดังนี้
ลองนับลูกดิ้นแบบ “Count to Ten”
ให้คุณแม่นับลูกดิ้นตั้งแต่เช้า-เย็น หรือประมาณ 10-12 ชั่วโมง หากลูกดิ้นมากกว่า 10 ครั้งถือว่าปกติ โดยปกติใน 1 วัน ลูกจะดิ้นมากกว่า 10 ครั้ง อยู่แล้ว
พบแพทย์ หากดิ้นมากกว่า 40 ครั้ง ต่อชั่วโมง
และหยุดไปนาน นั่นอาจเป็น สัญญาณอันตราย คุณแม่ต้องไปพบแพทย์เพื่อทำการอัลตราซาวด์ค่ะ
ผลกระทบต่อทารกจากสายสะดือพันคอ
ทารกที่ถูกสายสะดือพันคอ นอกจากจะมีภาวะขาดอากาศหายใจในครรภ์แล้ว ยังสามารถเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้อีกด้วยค่ะ เช่น
ภาวะสมองทำงานผิดปกติ
เนื่องจากการขาดออกซิเจนหรือขาดเลือด (Hypoxic-ischemia encephalopathy: HIE ) ทารกแรกเกิดจะได้รับอาการบาดเจ็บที่สมอง เนื่องจากขาดออกซิเจน และเลือดไปไหลเวียนที่สมองในช่วงใกล้คลอด ซึ่งส่งผลให้เด็กบางคนมีภาวะ HIE อาทิ สมองพิการ โรคลมบ้าหมู และความพิิการทางสติปัญญาและพัฒนาการ เป็นต้น
ทารกเสียชีวิตในครรภ์
หรือแท้งนั่นเอง ซึ่งต้องรีบเข้าพบแพทย์โดยด่วน
อัตราการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์ผิดปกติ
ซึ่งนำไปสู่ความเสี่ยงในการผ่าคลอดที่มีการใช้เครื่องมือทางการแพทย์อย่าง เช่น คีม และเครื่องดูดสุญญากาศ
ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ (Intrauterine growth restriction: IUGR)
ทารกที่ถูกสายสะดือพันคอนั้นจะส่งผลให้ทารกมีขนาดร่างกายเล็กกว่าปกติ เพราะสารอาหารและออกซิเจนถูกส่งไปเลี้ยงไม่เพียงพอ แต่ภายหลังคลอดก็สามารถเติบโตได้สมบูรณ์ปกติ
การมีขี้เทาในน้ำคร่ำ (Meconium-Stained Amniotic Fluid: MSAF)
หากทารกในครรภ์อุจจาระครั้งแรกในครรภ์ อาจเกิดอันตรายต่อสุขภาพของทารกในครรภ์ได้ โดยทารกอาจกลืนน้ำคร่ำ และของเหลวที่มีเมโคเนียมเข้าไป ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายต่อร่างกายที่เรียกว่า ภาวะสูดสำลักขี้เทา (Meconium Aspiration Syndrome: MAS)
แนวทางการรักษาของแพทย์
เมื่อแพทย์ตรวจพบว่ามีสายสะดือพันคอทารกด้วยการอัลตร้าซาวด์ แพทย์จะสังเกตปฏิกิริยาของทารกว่ามีการแสดงอาการ หรือมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับทารกหรือไม่ และหากคุณแม่อยู่ในช่วงใกล้คลอด หรือระหว่างเจ็บท้องคลอด แพทย์จะมีการดำเนินการดังต่อไปนี้
กรณีผ่าคลอด ( C- section )
หลังจากแพทย์ตรวจพบความผิดปกติของอัตราการเต้นหัวใจของทารกในครรภ์ หากพบว่ามีสายสะดือพันคอ ไม่จำเป็นที่จะต้องรีบผ่าคลอด ( C-section ) ทันทีเสมอไป แพทย์จะผ่าคลอดในกรณีที่สายสะดือพันคอแล้วดึงรั้งแน่น จนทำให้ขาดเลือดไปเลี้ยงสมองและอาจส่งผลทำให้เด็กขาดออกซิเจน มีการเต้นหัวใจผิดปกติ กรณีเช่นนี้ต้องผ่าตัดคลอดฉุกเฉิน
กรณีคลอดธรรมชาติ
การคลอดธรรมชาติยังสามารถทำได้โดยแพทย์จะพิจารณาร่วมกับความประสงค์ของคุณแม่ หากว่าสายสะดือพันคอทารกไม่รุนแรงมากนัก โดยอาจจะใช้เทคนิคการนำสายสะดือไปไว้เหนือศรีษะของทารก เพื่อลดการกดทับขณะที่พยายามนำช่วงไหล่ และลำตัวของทารกออกจากช่องคลอด
จะเห็นว่าสายสะดือพันคอลูกเป็นภาวะแทรกซ้อนในระหว่างการตั้งครรภ์ที่คุณแม่แทบจะไม่รู้ตัวเลย หากว่าแพทย์ผู้รับฝากครรภ์จะไม่สังเกตเห็นความผิดปกติเหล่านี้ และยังไม่มีวิธีป้องกันภาวะแทรกซ้อนนี้ได้อย่างแน่ชัด ทารก 1 ใน 3 สามารถเกิดสายสะดือพันคอขึ้นได้เป็นปกติ สิ่งที่คุณแม่ควรทำคือ เมื่อทราบว่าตั้งครรภ์ให้รีบทำการฝากครรภ์กับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทันที และไปพบแพทย์ตามเวลานัดหมายทุกครั้ง เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อทารกและคุณแม่ และเพื่อแพทย์จะได้ดูแลอย่างทันท่วงทีค่ะ