ลูกนอนกรน อันตรายไหม แบบไหนควรพบแพทย์
พ่อแม่เคยสังเกตอาการเหล่านี้ในขณะลูกหลับไหมคะ ลูกนอนกรน ลูกนอนหายใจติดขัด หรือลูกนอนหายใจเสียงดัง เพราะอาจเป็นสัญญาณแรกของ ภาวะการนอนกรนในเด็ก และหากพบว่าลูกมีอาการมากกว่า 3 คืนต่อสัปดาห์ มีเสียงเงียบและหยุดหายใจตามมา แล้วยังปัสสาวะรดที่นอนด้วย นั่นอาจแสดงว่ามี ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ร่วมด้วย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างมาก พ่อแม่จึงจำเป็นต้องรู้วิธีการสังเกต เพื่อจะได้พาลูกไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงทีค่ะ
ลูกนอนกรน ที่ควรได้รับการรักษา
อาการที่ลูกนอนกรนเป็นปัญหาที่พ่อแม่หลายคนมองข้าม และมักจะพบไม่บ่อยในเด็กเล็ก แต่ความจริงแล้วเป็นปัญหาที่อันตรายต่อสุขภาพของลูกถึงขั้นเสียชีวิตได้เลยทีเดียว
ภาวะนอนกรนจะพบในเด็กที่มีอายุระหว่าง 2 – 6 ปี เพราะเด็กวัยนี้จะมีต่อมทอนซิลและต่อมอะดีนอยด์ที่ทำให้เกิดการอุดกั้นของระบบทางเดินหายใจจนเกิดเสียงกรนที่เป็นภาวะอันตราย หรืออาจเป็นอาการนอนกรนที่เกิดจากโรคภูมิแพ้ ทำให้ต้องหายใจผ่านทางปาก จึงทำให้เกิดเสียงกรนเล็ก ๆ และเด็กก็จะมีอาการดีขึ้นเองเมื่อตื่น หากเป็นลักษณะนี้จะไม่ส่งผลที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของเด็กค่ะ
การนอนกรนในเด็ก
การนอนกรนในเด็กคล้ายกับการนอนกรนในผู้ใหญ่คือ เกิดจากการสั่นสะเทือนของโครงสร้าง ระบบทางเดินหายใจ เช่น ลิ้นไก่และเพดานอ่อนที่ตีบแคบทำให้เกิดเสียงกรน โดยหลัก ๆ แล้วการนอนกรนในเด็กนั้น จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
1.ภาวะการหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนต้น
(Pediatric Obstructive Sleep Apnea; OSA) ภาวะการหยุดหายใจนั้นจะทำให้ออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดคั่งส่งผลให้ประสิทธิภาพการนอนลดลง จึงทำให้มีความผิดปกติทางพัฒนาการทั้งทางด้านร่างกายและสติปัญญา เช่น ทำให้เติบโตช้า มีพฤติกรรมก้าวร้าว ซุกซนมากผิดปกติ (Hyperactive) บางรายอาจปัสสาวะรดที่นอน และส่งผลให้การเรียนแย่ลง หรือมีปัญหาการเข้าสังคมตามมาได้
2.การตีบของทางเดินหายใจส่วนต้น
เช่น จมูก ช่องคอ โคนลิ้น กล่องเสียง ซึ่งมักเกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ ในขณะนอนหลับ จึงส่งผลให้ขาดออกซิเจนขณะหลับ และเกิดการทำงานอย่างหนักของระบบหัวใจและหลอดเลือด
สาเหตุ ลูกนอนกรน
สาเหตุที่ลูกนอนกรน อาจมาจากปัจจัยเหล่านี้
โรคอ้วนในเด็ก
แป้งและไขมันที่รับประทานเข้าไปจะไปสะสมบริเวณหลอดทางเดินหายใจ
ต่อมในร่างกายโต
จะพบต่อมทอนซิลหรือต่อมอะดีนอยด์โต โดยเฉพาะในเด็กที่เป็นหวัดบ่อย
จมูกอักเสบเรื้อรัง
ภาวะจมูกอักเสบเรื้อรังจากภูมิแพ้ เยื่อบุภายในบวมทำให้อุดตันทางเดินหายใจ
เกิดจากโรคบางชนิด
โรคทางสมองและกล้ามเนื้อทำงานไม่ดีมีผลต่อระบบทางเดินหายใจ
มีความผิดปกติเกี่ยวกับโครงหน้า
โครงหน้าผิดปกติ เช่น คางสั้น หน้าแคบ
ลูกนอนกรน ผลข้างเคียง
หากพ่อแม่ได้ยินเสียง กรน เฮือก ๆ ฟี้ หรือหายใจแรงของลูกในขณะหลับอย่านิ่งนอนใจ เพราะอาจส่งผลข้างเคียงต่อร่างกาย พัฒนาการ และรวมไปถึงด้านอารมณ์ของลูกได้
เสี่ยงต่อพัฒนาการที่ผิดปกติ
ภาวะนอนกรนของลูก อาจส่งผลให้มีความผิดปกติทางพัฒนาการทั้งทางด้านร่างกายและสติปัญญา
เสี่ยงต่อการเป็นเด็กสมาธิสั้น
อยู่นิ่งไม่ค่อยได้ เรียนรู้ช้า ผลการเรียนแย่ลง ส่งผลในระยะยาวทำให้ลูกไม่อยากไปโรงเรียน ไม่อยากเข้าสังคม
เติบโตช้า
ภาวะนอนกรนจากระบบทางเดินหายใจถูกปิดกั้น อาจส่งผลให้ลูกเติบโตช้า มีพฤติกรรมก้าวร้าวและซุกซนมากผิดปกติ
มีพฤติกรรมหลับในห้องเรียน
ภาวะนอนกรน สามารถส่งผลให้ลูกมีพฤติกรรมหลับในห้องเรียน เพราะนอนหลับไม่สนิทในช่วงกลางคืน ทำให้เกิดอารมณ์หงุดหงิด และมีปัญหาเข้ากับเพื่อนๆไม่ได้ เป็นเด็กมีโลกส่วนตัวสูง
เสี่ยงต่ออาการหัวใจโต
อาการกรนที่รุนแรงอาจทำให้มีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ เมื่อหยุดหายใจ ออกซิเจนในเลือดก็จะลดลง หากไม่ได้รับการดูแลรักษาและปล่อยไว้ในระยะยาว ส่งผลให้ลูกมีอาการหัวใจโต และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
มักปัสสาวะรดที่นอนกลางดึก
เด็กที่มีภาวะนอนกรนบางคนอาจจะมีอาการปัสสาวะบ่อยในเวลากลางคืน หรืออาจปัสสาวะรดที่นอนเป็นประจำ
ลูกนอนกรน วิธีสังเกต และควรพบแพทย์
หากพ่อแม่สงสัยหรือไม่แน่ใจว่าลูกมีอาการนอนกรนหรือไม่ เขาจะมีพฤติกรรมที่แสดงออกมา ให้พ่อแม่สังเกตดูนะคะว่าลูกมีพฤติกรรมเหล่านี้หรือไม่ หากมีอาการเหล่านี้ควรพาลูกไปพบแพทย์ค่ะ
มีเหงื่อออกง่าย
หายใจเหนื่อยหอบตอนหลับ หน้าอกบุ๋ม คอบุ๋ม และท้องโป่ง เป็นอาการที่บ่งบอกถึงความผิดปกติของทางเดินหายใจ
ลูกปัสสาวะรดที่นอนบ่อย ๆ
และในช่วงกลางวันลูกหงุดหงิด เอาแต่ใจ หรือไม่เชื่อฟังพ่อแม่มากผิดปกติ อาจเป็นผลมาจากการที่ลูกมีอาการง่วงนอนเพราะหลับไม่สนิทให้ช่วงกลางคืนจึงพักผ่อนได้ไม่เพียงพอ
ฟังเสียงขณะที่ลูกหลับ
เช่น นอนกรนเสียงดัง และเสียงกรนดังเฮือก เหมือนคนขาดอากาศหายใจ และมีอาการสะดุ้งตื่นหลังได้ยินเสียงกรนของตัวเอง
สังเกตเสียงของลูกที่นอนกรน
ว่ามีเสียงกรนแบบขาด ๆ หาย ๆ หรือมีการหยุดหายใจไปชั่วขณะหรือไม่
ลูกนอนกรน รักษาอย่างไร
เมื่อสังเกตความผิดปกติของลูกในขณะหลับ หากเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าลูกมีภาวะนอนกรน พ่อแม่สามารถพาลูกไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอาการเบื้องต้นได้ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะใช้แบบสอบถามในการประเมินความรุนแรงของอาการ ถ่ายภาพรังสีเพื่อดูขนาดของต่อมอะดีนอยด์ว่ามีการโตหรือไม่ ตรวจดูโครงสร้างของกะโหลกศีรษะ ตรวจค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนขณะหลับ หรือตรวจการนอนหลับแบบเต็มรูปแบบ เพื่อนำไปสู่การรักษาที่ถูกต้องในลำดับต่อไปค่ะ
ดังนั้น เรื่องลูกนอนกรนจึงไม่ใช่เรื่องที่ควรปล่อยผ่าน เพราะอาจมีความผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่งแอบแฝงมากับสัญญาณเหล่านี้ พ่อแม่จึงต้องหมั่นสังเกตอาการของลูก ทางที่ดีหากไม่แน่ใจควรเข้ารับการตรวจจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้แพทย์วินิจฉัยและประเมินอาการดังกล่าวค่ะ