ลูกนอนหลับได้คุณพ่อคุณแม่ก็สบายใจ แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามหากคุณพ่อคุณแม่ได้ยินเสียงลูกน้อยหายใจครืดคราด เอาละสิ…เกิดความกังวลซะแล้ว ลูกเป็นอะไร ลูกจะหลับสนิทไหม จะช่วยลูกได้อย่างไรดี และอีกคำถามร้อยแปดที่เข้ามาในหัว เอาเป็นว่าวันนี้แม่โน้ตมีข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับสาเหตุที่ลูกหายครืดคราด พร้อมแนวทางการแก้ไขเบื้องต้นมาฝากค่ะ
ลูกหายใจครืดคราด เกิดจากอะไร แก้ไขอย่างไร
ดื่มนมมากเกินไป (Overfeeding)
ข้อนี้จะเกิดขึ้นได้บ่อยโดยเฉพาะในทารกแรกเกิด-3 เดือน เพราะลูกเพิ่งลืมตาออกมาดูโลก ยังต้องอาศัยเวลาในการปรับตัว ลูกอาจร้องไห้บ่อย จึงทำให้คุณแม่บางคนเข้าใจว่าทุกครั้งที่ลูกร้องไห้นั้น แปลว่าลูกหิว เมื่อเอานมเข้าปากลูกก็ดูดทุกครั้ง ซึ่งต้องบอกว่าเด็กทารกนั้น เมื่อเอาอะไรเข้าปากเขาจะเกิดปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติต่อสิ่งเร้าทุกครั้งค่ะ หรือที่เรียกว่า “ปฏิกิริยาสะท้อนกลับของทารก (Reflex)” นั่นเองค่ะ
ดังนั้น เมื่อลูกร้องแล้วให้นมลูกทุกครั้ง จึงส่งผลให้ลูกมีน้ำหนักมากขึ้นอย่างรวดเร็ว บางครั้งก็ส่งผลให้น้ำนมจากกระเพาะล้นมาอยู่ที่คอหอย ส่งผลให้ลูกหายใจครืดคราดนั่นเอง
วิธีแก้ไข ลูกดื่มนมมากเกินไป
เมื่อลูกร้องไห้ไม่ได้หมายความว่าลูกจะหิวเสมอไป คุณแม่สามารถพิจารณาได้จากช่วงเวลาปละปริมาณในการกินของลูกแต่ละครั้งก็ได้ค่ะ ถ้ารอบที่แล้วลูกกินเยอะ ผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมง ลูกร้องอีก แบบนี้ไม่น่าจะใช้ร้องเพราะหิวแล้วค่ะ อาจต้องพิจารณาเหตุปัจจัยอื่น เช่น อากาศหนาวไปหรือเปล่า หรือเพราะลูกขับถ่าย เป็นต้น
อากาศแห้ง หรืออากาศเย็นเกินไป
แม้ว่าบางครอบครัวจะบอกว่าปกติเวลาที่นอนหลับก็เปิดแอร์อยู่แล้วทุกวัน แต่ในบางฤดูหรือบางวันที่มีฝนตกก็ทำให้อากาศเย็นลงได้ ลูกอาจหายใจครืดคราด หรือมีอาการฟึดฟัดได้ ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากความที่อากาศแห้งและเย็นจะเป็นตัวกระตุ้นเยื่อบุโพรงจมูก ส่งผลให้เกิดอาการบวม และด้วยปฏิกิริยาของร่างกายก็จะผลิตน้ำมูกออกมาเพื่อรักษาความชื้นในโพรงจมูกไว้ ซึ่งขณะที่ลูกนอน น้ำมูกก็จะไหลลงคอ ทำให้ลูกมีเสมหะได้
วิธีแก้ไข ไม่ให้อากาศแห้งหรือเย็นเกินไป
- ควรอบอุ่นร่างกายด้วยการใส่เสื้อผ้าที่หนากว่าปกติ หรือห่มผ้า
- ควรเปิดแอร์ในอุณหภูมิที่พอเหมาะ คือ 26 – 28 องศาเซลเซียส
- หากเปิดแอร์นอน ควรสวมเสื้อผ้าที่ค่อนข้างหนาสักหน่อย หรือห่มผ้าให้มิดชิด
- ไม่ควรในจุดที่มีแอร์หรือพัดลมจ่อโดยตรง เพราะอาจไม่สบายได้
สิ่งแปลกปลอมติดในโพรงจมูก
เรื่องนี้เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่คงเคยได้ยินข่าวกันมาบ้างที่เด็กเล็กมักชอบเอาของเล่นยัดใส่จมูกแล้วติดอยู่ข้างใน เอาไม่ออก การเลือกของเล่นให้เด็กเล็กไม่ควรเป็นของเล่นที่ลูกสามารถกำได้มิด หรือของเล่นชิ้นส่วนเล็ก ๆ เพราะเมื่อของเล่นเข้าไปติดในโพรงจมูกแล้ว อาจทำให้ลูกหายใจครืดคราดได้ ให้คุณแม่สังเกตอาการอื่นร่วมด้วย เช่น มีน้ำมูกไหลมาข้างเดียว เดี๋ยวเป็น เดี๋ยวหาย น้ำมูกมีกลิ่น เพราะเริ่มมีหนองปนออกมา เสมหะไหลลงคอ ไอบ่อย ปวดจมูก ถอนหายใจบ่อย หรือหายใจทางปากตลอดเวลา
วิธีการป้องกัน และรักษา ไม่ให้สิ่งแปลกปลอมติดในโพรงจมูก
-
-
-
- ห้ามเด็ดขาด! ห้ามใช้คีม หรือแหนบ หรือเครื่องมือต่าง ๆ คีบเอาสิ่งแปลกปลอมนั้นออกมา เพราะอาจทำให้ยิ่งลึกเข้าไปข้างใน และอาจหลุดไปที่หลอดลม หรือปอด เสี่ยงเสียชีวิตได้
- ใช้มือปิดจมูกข้างที่ไม่มีสิ่งแปลกปลอมติดอยู่ แล้วสั่งน้ำมูกแรง ๆ เพื่อดันให้สิ่งแปลกปลอมหลุดออกมา แต่ถ้าพยายามแล้วสิ่งแปลกปลอมไม่ออก ให้ปรึกษาแพทย์ทันที
- แพทย์จะใช้ที่ส่องโพรงจมูก ซึ่งถ้าพบว่ามีสิ่งแปลกปลอมติดอยู่จริง คุณหมอจะใช้เครื่องมือคีบออกมา
-
-
(ติดตามเพิ่มเติม >> “ของเล่น ที่เป็นอันตรายต่อเด็กวัยอนุบาล”)
เกิดจากการแพ้อาหาร
แพ้อาหารก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ลูกหายใจครืดคราดได้ อาการแพ้อาหารมีหลายอย่างค่ะ เช่น หายใจครืดคราด ตาบวม ปากบวม เป็นลมพิษ ผื่นภูมิแพ้ผวิหนัง ถ่ายเป็นเลือด ถ่ายเหลวรุนแรงหลายครั้ง และมีอาการคัดจมูก เป็นต้น
วิธีการรักษาอาการแพ้อาหาร
-
-
- หากลูกยังกินนมแม่อยู่ ให้คุณแม่หยุดกินอาหารที่สงสัยว่าจะเป็นตัวการในการทำให้ลูกแพ้อาหารทันที
- หากเป็นเด็กที่กินอาหารเสริมแล้วหรือเด็กที่โตมาสักหน่อย ให้ลูกงดอาหารที่สงสัยว่าแพ้ พร้อมกับสังเกตอาการว่าอาการหายใจครืดคราดนั้นหายไปหรือไม่ โดยให้งดในระยะเวลา 4 – 6 สัปดาห์
-
เกิดจากโรคหลอดลมอ่อนตัว (Laryngomalacia)
เป็นความผิดปกติตั้งแต่กำเนิด เนื่องจากกระดูกอ่อนของหลอดลมไม่แข็งแรง โดยปกติแล้วเมื่อเวลาที่เราหายใจเข้าออก กระดูกส่วนหลอดลมจะแข็ง จะไม่แฟ่บไปตามแรงหายใจเข้าออก แต่เด็กที่เป็นโรคนี้ คือ กระดูกอ่อนของหลอดลมมีการพัฒนากที่ช้ากว่าปกติ จึงทำให้เกิดเสียงครืดคราดได้
วิธีการรักษา โรคหลอดลมอ่อนตัว
-
-
- เด็กที่เป็นโรคนี้แต่ไม่มีอาการอื่นร่วมด้วย โดยปกติแล้วไม่ต้องทำการรักษาแต่อย่างใด ส่วนใหญ่จะดีขึ้นและหายได้เองเมื่ออายุได้ 1 – 2 ปี โดยประมาณ
-
เกิดจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ
หากลูกหายใจครืดคราด พร้อมกับมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ไอ มีเสมหะ มีน้ำมูก ซึ่งอาจเกิดจากเชื้อไวรัส หรือเชื้อแบคทีเรีย ส่งผลทำให้มีไข้ มีเสมหะ และคออักเสบ เมื่อหายจากอาการหวัดแล้ว ลูกอาจมีการหายใจครืดคราดอยู่บ้าง เนื่องจากเป็นการระบายเอาเสมหะออกมาซึ่งมักจะหายได้เองภายในประมาณ 2 สัปดาห์
วิธีการรักษา การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ
-
-
- เคาะปอดระบายเสมหะ (ติดตามเพิ่มเติม >> “วิธีเคาะปอดลูกน้อย ลดไอ ระบายเสมหะ พ่อแม่ทำได้เองที่บ้าน“)
- ดื่มน้ำอุ่น เพื่อทำให้เสมหะอ่อนตัว และไม่ติดค้างในลำคอ
- กินยาแก้ไอละลายเสมหะของเด็ก แต่ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกรนะคะ
-
เกิดภาวะกรดไหลย้อน (Gastroesophageal Reflux Disease หรือ GERD)
ภาวะนี้เกิดจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อหูรูดในหลอดอาหารที่อ่อนแรงกว่าปกติ ส่งผลให้น้ำนมหรือน้ำย่อยในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาทางหลอดอาหาร ซึ่งอาจมาถึงช่วงคอ จึงทำให้ลูกมีเสียงครืดคราดเวลาหายใจ ซึ่งจะชัดมากเวลาที่ลูกดูดนม ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่วัยทารก วัยเด็ก และวัยผู้ใหญ่
แต่สำหรับภาวะกรดไหลย้อนในทารก ทารกมักจะมีอาการแหวะนม หงุดหงิด ร้องไห้ งอแง ไม่สบายตัว กลืนลำบาก หายใจลำบาก
วิธีการรักษา ภาวะกรดไหลย้อน
-
-
- ปรึกษาแพทย์ ซึ่งแพทย์จะวินิจฉัยด้วยการให้กลืนแป้งหรือมีการตรวจวัดความเป็นกรดที่หลอดอาหาร
- กินยา แล้วสังเกตอาการว่าตอบสนองต่อยาดีหรือไม่
- ให้ลูกกินนมอย่างถูกวิธี โดยกินครั้งละน้อย แต่บ่อย
- เมื่อกินนมหรืออาหารแล้ว อย่าเพิ่งให้ลูกนอนราบ ควรอุ้มเดิน หรือนั่ง เพื่อให้อาหารย่อยเสียก่อน
-
ด้วยสาเหตุที่ลูกหายใจครืดคราดนั้นเกิดได้จากหลายปัจจัย ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตอาการของลูกน้อย ไม่ว่าจะหลังจากที่กินนม กินอาหาร หรือแม้แต่ขณะเล่นของเล่น หากเกิดเหตุการณ์อะไรที่ไม่แน่ใจหรือนอกเหนือจากสาเหตุที่กล่าวมาแล้วข้างต้น แนะนำปรึกษาแพทย์ทันทีค่ะ
ข้อมูลอ้างอิง pobpad.com, พญ.สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ, paolohospital.com