Site icon simplymommynote

เครื่องรางเรียกทรัพย์ อัญมณี หินสีนำโชค ตำนานความเชื่อที่ใช้ได้…จริงหรือ?

เครื่องรางเรียกทรัพย์ อัญมณี หินสีนำโชค ตำนานความเชื่อที่ใช้ได้...จริงหรือ

สำหรับสถานการณ์ที่ภาวะเศรษฐกิจผกผัน เพราะพิษโควิดเช่นในปัจจุบัน หลายคนอาจพบกับความขัดข้อง ติดขัด และประสบปัญหาต่างๆ ในการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะเรื่องของการงาน และการเงิน ด้วยเหตุนี้เครื่องรางเรียกทรัพย์ กับอัญมณีหินสีนำโชค จึงถือเป็นเครื่องมือสร้างแรงบันดาลใจ หรือกำลังใจให้กับหลายๆ คนได้อย่างดี

5 เครื่องรางเรียกทรัพย์ กับ ตำนานความเชื่อ

เครื่องรางเรียกทรัพย์ กับตำนานความเชื่อที่สืบทอดกันมายาวนาน ตั้งแต่ยุคโบราณ จนกระทั่งถึงปัจจุบันนั้น มีอยู่มากมายหลายชนิดด้วยกัน อาทิ

พระปิดตา (พระมหากัจจายนะ)

คือพระพุทธรูปที่มีขนาดเล็ก หรือที่เรารู้จักกันดีว่า “พระเครื่อง” มีลักษณะองค์พระ ยกพระหัตถ์ขึ้นปิดพระพักตร์ (คือ ปิดทั้งตา หู จมูก ปาก) โดยจะแบ่งกริยาท่าทางขององค์พระออกเป็น 3 ลักษณะด้วยกัน คือ พระปิดตานั่งขัดสมาธิ ยกพระหัตถ์ขึ้นปิดทวารทั้งเก้า พระปิดตานั่งยองๆ (พระปิดตามหาอุด) และพระปิดตานั่งขัดสมาธิ ยกพระหัตถ์ขึ้นปิดพระพักตร์ ละเว้นส่วนอื่นๆ

ความเชื่อ เกี่ยวกับพระปิดตา

ได้กล่าวถึงพระอัครสาวกองค์หนึ่ง นามว่า พระภควัมปติ หรือพระมหากัจจายะ ที่ทรงแสดงลักษณะอันเป็นนัยยะแห่งธรรม ด้วยการยกพระหัตถ์ขึ้นปิดพระพักตร์ และทวารทั้งเก้า (เรียกว่า มหาอุด) หมายถึงการเข้าสู่นิโรธสมาบัติ ไม่ยินดียินร้ายต่อสิ่งอันเป็นโลกธรรมทั้งหลาย เป็นการดับสนิทซึ่งอาสวะกิเลส

ประวัติการสร้างพระปิดตาในยุคแรก มาจากวัฒนธรรมการสร้างพระเครื่องแบบเขมร ที่เผยแพร่เข้ามาสู่วงการสร้างพระเครื่องของไทย ซึ่งผู้ศรัทธาต่างเชื่อว่า นอกจากพระปิดตาเป็นเครื่องรางเรียกทรัพย์ โชคลาภ และความมั่งคั่งแล้ว ยังมีพุทธคุณในด้านคงกระพันชาตรี ป้องกันภยันตราย และเมตตามหานิยมอีกด้วย

ปี่เซี๊ยะ (เทียนลู่, เทียนลก)

หมายถึง กวางสวรรค์ หรือการขจัดปัดเป่าสิ่งอัปมงคลทั้งหลาย ช่วยในการบันดาลโชคลาภ ปี่เซี๊ยะมีเป็นคู่ คือ “ปี่” หมายถึง สัตว์ตัวผู้ ส่วน “เซี๊ยะ” จะหมายถึง สัตว์ตัวเมีย

ความเชื่อ เกี่ยวกับปี่เซี๊ยะ

ในยุคโบราณของชาวจีนกล่าวว่า ปี่เซี๊ยะเป็นสัตว์สี่เท้า มีเขาคล้ายกวาง มีปีกคล้ายนก มีหน้า หัว และขา คล้ายสิงโต มีหลังคล้ายปลา และมีหางคล้ายแมว กินเก่ง และไม่มีรูทวาร จึงไม่มีการขับถ่าย เชื่อกันว่า ปี่เซี๊ยะคือสัญลักษณ์ของการพิทักษ์รักษาทรัพย์สมบัติให้คงอยู่ตลอดไป หรือมีแต่ทรัพย์สินเพิ่มพูน ไม่มีวันหมดสิ้น (เพราะกินเก่ง และกินอย่างเดียว ไม่ได้ขับถ่าย) นอกจากนี้ ยังหมายถึงการปกป้องคุ้มภัย และการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะอีกด้วย

คางคกคาบเหรียญ “เซียมซู”

เป็นสัตว์ที่มีรูปร่างคล้ายกบ และคางคก มีสามขา มีหางคล้ายปลา แผ่นหลังมีรูปดาว 7 ดวง เป็นสัตว์เลี้ยงของพระมารดาเง็กเซียนฮ่องเต้ มีความสามารถพิเศษในการเรียกเงินเรียกทองได้ตามต้องการ

ความเชื่อ เกี่ยวกับคางคกคาบเหรียญ

ตามตำนานเล่าว่า ครั้งหนึ่งคางคกเซียมซูได้หนีจากสวรรค์มาเที่ยวเล่นยังโลกมนุษย์ และได้ไปอาศัยอยู่ที่บ้านของชายยากจนผู้หนึ่ง ทว่า ชายผู้นี้มีความกตัญญูต่อบุพการีเป็นอย่างยิ่ง เจ้าเซียมซูจึงได้บันดาลทรัพย์สินเงินทองให้เขามากมาย ทั้งยังทำให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ข้าวกล้าในนาอุดมสมบูรณ์อีกด้วย ครั้นเมื่อพระมารดาเง็กเซียนฮ่องเต้ทราบเรื่อง พระนางจึงประทานพรว่า หากเซียมซูได้ไปอยู่ที่บ้านของผู้ใด ก็ขอให้คนผู้นั้นมีแต่ความมั่งคั่ง อุดมสมบูรณ์ตลอดไป

ปัจจุบัน คางคกเซียมซูถือเป็นเครื่องร่างที่นิยมกันมากในหมู่พ่อค้า และนักธุรกิจ โดยการวางเซียมซูให้หันหน้าเข้าหาตัวบ้าน หรือสถานที่ทำงาน เช่น วางไว้ในตู้เซฟ หรือลิ้นชักเก็บเงิน แต่ไม่ควรหันหน้าออกนอกสถานที่ทำงาน หรือประตูบ้านเป็นอันขาด เพราะจะหมายถึงการนำทรัพย์สินออกไปด้วย นั่นเอง

น้ำเต้าทองดูดทรัพย์

เครื่องรางเพิ่มโชคลาภ เด่นในเรื่องของการค้าขาย เรียกเงินเรียกทองเข้ามาหาผู้ครอบครอง ทั้งนี้เพราะน้ำเต้ามีลักษณะคล้ายเลข 8 ซึ่งเป็นเลขมงคลของจีน อีกทั้งน้ำเต้ายังเป็นไม้มงคล ที่ชาวจีนเชื่อว่ามีอายุยืนยาว ออกลูกออกผลตลอดปี จนกว่าจะแก่ตาย

ความเชื่อ เกี่ยวกับน้ำเต้าดูดทรัพย์

น้ำเต้า หมายถึงโชคลาภที่เข้ามาไม่ขาดสาย ยังมีความหมายในเรื่องของสุขภาพ และอายุที่ยืนยาว  มักนิยมแขวนน้ำเต้าไว้ที่หน้าร้าน หน้าประตูบ้าน หรือในรถยนต์ส่วนตัว ทั้งยังมีการทำน้ำเต้าดูดทรัพย์ในรูปแบบของเครื่องประดับสำหรับสวมใส่ พกติดตัวไปได้ทุกที่อีกด้วย ตัวอย่าง เช่น จี้เงิน จี้ทอง รูปน้ำเต้า กำไรข้อมือรูปน้ำเต้า เป็นต้น

พระพิฆเนศ

เทพเจ้าแห่งศิลปะ ความรู้ และความสำเร็จ โอรสของพระอิศวร และพระแม่ปารวตี มีร่างกายมนุษย์ มีศีรษะเป็นช้าง หนึ่งในเทพเจ้าของชาวอินเดีย ผู้ทรงมีพลานุภาพในการขจัดปัดเป่าความทุกข์ยาก และความขัดข้องทั้งหลาย ซึ่งแต่เดิมเมื่อชาวอินเดียจะเริ่มทำการเรียนรู้ศิลปะวิทยาการต่างๆ จะต้องทำการกราบไหว้ สักการะพระพิฆเนศก่อนเสมอ และสำหรับในประเทศไทยเรา พระพิฆเนศก็ถือเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของนักศึกษาวิชาช่าง และศิลปินทั้งหลายด้วยเช่นกัน

7 อัญมณี หินสีนำโชคมีอะไรบ้าง?

ไหมเศรษฐี (Mica Rutile Quartz) หรือ “ไหมจักรพรรดิ”

อัญมณีหินสีนำโขค ดึงดูดความมั่งคั่ง ร่ำรวย โชคลาภ ทั้งยังหมายถึงพลังอำนาจ และโชควาสนาอีกด้วย จึงถือเป็นเครื่องรางมลคลอีกชิ้นหนึ่งที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้นำ หรือผู้ที่กำลังจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งใหม่ ซึ่งจะช่วยทำให้เป็นที่รัก เคารพ ยำเกรงของลูกน้องอีกด้วย

ลาพิซลาซูลี (Lapis Lazuli)

อัญมณีหินสีนำโชคสีน้ำเงินเข้ม สัญลักษณ์แห่งสติปัญญา สมาธิ การเริ่มต้นสิ่งใหม่ที่ดีกว่า ทั้งยังหมายถึงความสำเร็จ และความเข้มแข็งอีกด้วย

ไทเกอร์อาย (Tiger’s eye) หรือพลอยตาเสือ

อัญมณีหินสีนำโชค ดึงดูดความมั่งคั่ง ร่ำรวย โชคลาภ ทั้งยังหมายถึงสติปัญญาในการแก้ปัญหาต่างๆ และการนำพาตนเองไปสู่เป้าหมายแห่งชัยชนะอีกด้วย

ทับทิม (Ruby) หรือ ปัทมราช

อัญมณีในกลุ่มมณีนพเก้า สัญลักษณ์แห่งผู้นำ โชคลาภ การงาน และการเงิน ทั้งนี้เพราะในสมัยโบราณทับทิมมักถูกนำมาประดับบนมงกุฎของกษัตริย์เสมอ ด้วยความเชื่อที่ว่า ทับทิมคือสุดยอดของอัญมณีที่จะนำพาให้ผู้ครอบครองเป็นหนึ่งเหนือผู้ใด ทั้งในด้านโชคลาภ สุขภาพ การงาน และการเงินอีกด้วย

โกเมน (Garnet)

อัญมณีแห่งความเจริญรุ่งเรือง แสงสว่าง และพลังในการดำเนินชีวิต โกเมนจึงเปรียบเสมือนเครื่องรางของผู้ที่กำลังตกอยู่ในความมืดมน และพยายามที่จะค้นหาแสงสว่าง เพื่อนำทางชีวิตไปสู่จุดหมายที่ก้าวหน้า และยั่งยืนต่อไปในอนาคต นั่นเอง

มรกต (Emerald)

อัญมณีแห่งความอุดมสมบูรณ์ ความเจริญรุ่งเรือง โชคลาภ และความสำเร็จ

อเวนเจอรีน (Aventurine)

อัญมณีแห่งนำโชคด้านการเงิน โชควาสนา และความก้าวหน้ารุ่งเรือง เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งมิตรภาพ และการเชื่อมสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล และสามารถลดภาวะความตึงเครียดได้อีกด้วย

นอกจากเครื่องรางเรียกทรัพย์ และอัญมณี หินสีนำโชคที่กล่าวมาในข้างต้นแล้ว ยังมีเครื่องรางเรียกทรัพย์และอัญมณีหินสีนำโชคอีกมากมายกระจายอยู่ทั่วโลก ในแต่ละชนชาติและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันออกไป แสดงให้เห็นว่า เครื่องรางเรียกทรัพย์ และอัญมณีหินสีนำโชคต่างๆ เหล่านี้ ล้วนมีบทบาท และอิทธิพลต่อจิตใจ ตลอดจนถึงการดำเนินชีวิตของผู้คนทั้งหลายไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยเช่นนี้ หลายคนต่างก็กำลังมองหาลู่ทางใหม่ๆ ในการประกอบอาชีพ การสร้างฐานะทางเศรษฐกิจด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้น “พลังใจ” จึงถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ที่จะช่วยให้ทุกคนผ่านพ้นวิกฤติการณ์ที่หนักหน่วงนี้ไปได้…

Exit mobile version