โคลีน (Choline) หนึ่งในอาหารสมองสำคัญที่คุณแม่ไม่ควรพลาดเสริมให้ลูกน้อย เพราะโคลีนมีส่วนช่วยในการสร้างสมองส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับ การเรียนรู้ (Learning), ความจำ (memory), การสนใจ (Attention) และการมองเห็น นอกจากนี้ โคลีนยังมีความสำคัญต่อการทำงานของสมองและระบบประสาทอีกด้วย อยากให้ลูกน้อยเรียนรู้ไว ฉลาด (IQ) และมีพัฒนาการที่ดี วันนี้เราจะชวนคุณพ่อคุณแม่มาทำความรู้จักกับสารอาหารโคลีนกันให้มากขึ้นค่ะ ว่าแท้จริงแล้วโคลีน คืออะไร? มีประโยชน์อย่างไร เพราะอะไรในนมผงเด็กจึงนิยมใส่สารอาหารนี้ลงไป ไปติดตามกันค่ะ
โคลีน (Choline) คืออะไร
โคลีน (Choline) หรือชื่อทางเคมีว่า 2-hydoxyethyl-trimethyl-ammonium เป็นสารประกอบที่คล้ายกับวิตามินบี จึงจัดอยู่ในกลุ่มของวิตามินบีและเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ (water-soluble vitamins)
นอกจากนี้ยังเป็นสารที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์เองได้ โคลีนเป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ เยื่อหุ้มสมอง กล้ามเนื้อ เซลล์ประสาท และโคลีนยังเป็นสารตั้งต้นของการสร้างอะซิทิลโคลีน (Acetylcholine) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ใช้ในการส่งกระแสประสาท (Cholinergic neurotransmission) ของสมอง และมีบทบาทต่อความจำ และการควบคุมกล้ามเนื้อ
อีกทั้ง ยังทำงานร่วมกับอินโนซิทอล (inositol) ในการกำจัดไขมัน และคอเลสเตอรอล โคลีนซึมเข้าสมองและเข้าสู่เซลล์สมอง ทำหน้าที่ช่วยส่งสัญญาณในเซลล์ประสาทได้
ประโยชน์ของโคลีน ต่อพัฒนาการ
สารอาหารโคลีนมีความสำคัญต่อพัฒนาการของทั้งทารกและเด็กเล็ก ในด้านต่าง ๆ ดังนี้
พัฒนาการทางสมอง
ช่วยส่งเสริมการทำงานของสมอง ส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับ การเรียนรู้ ความจำ, การสนใจ, และการมองเห็น
เซลล์สื่อประสาท
ช่วยให้การสื่อสารของเซลล์ประสาททำงานได้ดีขึ้น เพราะโคลีนทำหน้าที่ส่งกระแสประสาท ส่งผลต่อพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กได้ดีขึ้น
ด้านความจำ การเรียนรู้
ช่วยในการสังเคราะห์อะซิติลโคลีน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความจำ และการเรียนรู้อีกด้วย
ป้องกันภาวะหลอดประสาทไม่ปิด
ป้องกันลูกน้อยไม่ให้เกิดภาวะหลอดประสาทไม่ปิด (Neutral Tube Defect) ด้วยการทานอาหารที่มีโคลีน
ลดการสะสมของคอเลสเตอรอล
สารอาหารโคลีนมีส่วนช่วยในการกระจายตัวของคอเลสเตอรอล ส่งผลให้ไม่เกิดการกระจุกหรือการสะสมของคอเลสรอลนั่นเอง
ผลกระทบหากขาดโคลีน
ภาวะขาดโคลีน เป็นภาวะพบได้น้อยมาก เนื่องจากร่างกายสร้างโคลีนได้เอง และสามารถรับจากแหล่งอาหารอื่นๆ เพิ่มเติม
อย่างไรก็ตามสามารถพบภาวะขาดโคลีนได้บางกรณีเช่น หญิงตั้งครรภ์, หญิงให้นมบุตร, หญิงวัยหมดประจำเดือน, นักกีฬาประเภทหักโหม, ดื่มสุราเรื้อรัง เป็นต้น ซึ่งผลกระทบหากขาดโคลีนไม่มีอาการบ่งชี้เฉพาะ
สำหรับในทารกที่ขาดโคลีนหรือได้รับโคลีนไม่เพียงพอตั้งแต่ช่วงวัยแรกๆ การพัฒนาการของสมองอาจไม่ดีเท่าที่ควร และอาจส่งผลให้เรียนรู้ช้า ความจำไม่ดี หรือขาดสมาธิ
ข้อควรระวังในการบริโภคโคลีน
โคลีนเป็นสารอาหารสำคัญที่ร่างกายสามารถสร้างเองได้ อย่างไรก็ตามในบางกรณีอาจต้องได้รับโคลีนเสริมเพื่อให้เพียงพอต่อความต่อการของร่างกายและเพื่อพัฒนาการด้านต่าง ๆ มีประสิทธิภาพและทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ที่สำคัญโคลีนควรได้รับในปริมาณที่เพียงพอทั้งคุณแม่และทารกซึ่งปริมาณที่ควรได้รับดังนี้
- ในระหว่างตั้งครรภ์คุณแม่ควรได้รับโคลีนในปริมาณ 450 มิลลิกรัมต่อวัน แต่หลังคลอดควรได้รับโคลีนเพิ่มปริมาณเป็น 550 มิลลิกรัม โดยโคลีนจะถูกส่งต่อจากแม่ไปยังลูกน้อยผ่านทางน้ำนม
- ทารกอายุ 0-6 เดือน ควรได้รับโคลีน 125 มิลลิกรัม/วัน
- เด็กอายุ 7-12 เดือน ควรได้รับโคลีน 150 มิลลิกรัม/วัน
- เด็กอายุ 1-3 ปี ควรได้รับโคลีน 200 มิลลิกรัม/วัน
- เด็กอายุ 4-8 ปี ควรได้รับโคลีน 250 มิลลิกรัม/วัน
- เด็กอายุ 9-13 ปี ควรได้รับโคลีน 375 มิลลิกรัม/วัน
แหล่งอาหารธรรมชาติที่อุดมด้วยโคลีน
โคลีนเป็นสารอาหารที่สำคัญต่อทารกและคุณแม่ โคลีนเป็สารอาหารที่ร่างกายสามารถสร้างได้เองและทารกได้รับโคลีนจากนมแม่
นอกจากนี้ยังสามารถเสริมโคลีนให้เพียงพอต่อปริมาณที่ร่างกายควรได้รับและในกรณีขาดโคลีนหรือได้รับโคลีนไม่เพียงพอสามารถเสริมโคลีนด้วยผลิตภัณฑ์นมผงเด็กหรือนมที่มีส่วนประกอบของโคลีน
อีกทั้งยังสามารถรับโคลีนจากแหล่งอาหารธรรมชาติอื่นๆ ซึ่งโคลีนพบได้ในอาหารหลายชนิดโดยอยู่ในรูปของโคลีนและเลซิติน ได้แก่
- ไข่แดง, ตับวัว
- เนื้อสัตว์ เช่น เนื้อไก่ เนื้อวัว และเนื้อหมู
- ปลา เช่น ปลาค้อด ปลาแซลมอน และปลานิล
- ผักใบเขียว ผักกาดหอม ผักลงหัวชนิดต่างๆ ผักกาด ผลไม้รสเปรี้ยว เช่น บรอกโคลี ผักโขม ดอกกะหล่ำ มันฝรั่ง กระหล่ำปลี ธัญพืชขัดสีน้อย
- นมและผลิตภัณฑ์จากนมสำหรับคุณแม่
- ถั่ว เช่น ถั่วเหลือง ถั่วแดง ถัวลันเตา ถั่วลิสง ถั่วพิสตาชิโอ มะม่วงหิมพานต์ เป็นต้น
- อาหารแปรรูปที่มีการเติมเลซิติน เช่น ไอศกรีม และเค้ก
สรุป
โคลีนเป็นสารอาหารสำคัญที่มีส่วนช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบประสาท สมอง และกล้ามเนื้อ นอกจากนี้โคลีนทำหน้าที่ตรงเข้าไปยังเซลล์สมองเพื่อผลิตสารเคมีที่ช่วยเรื่องความทรงจำ
ดังนั้นทารกในครรภ์ได้รับโคลีนจากการทานอาหารของแม่โดยทารกได้รับโคลีนผ่านทางน้ำนมแม่ หรือได้รับโคลีนเสริมจากแหล่งอาหารอื่น ซึ่งโคลีนที่ได้รับนี้ไปกระตุ้นการทำงานของระบบประสาท สมอง และความจำ ซึ่งส่งผลให้ลูกน้อยมีความพร้อมในการเรียนรู้และต่อยอดความฉลาดในอนาคต และช่วยให้ลูกน้อยมีพัฒนาการด้านการจดจำ และส่งเสริมการทำงานของสมองลูกน้อยอย่างสมบูรณ์
คุณพ่อคุณแม่ยังสามารถเรียนรู้เรื่องสารอาหารอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่ อาทิ DHA, ARA และ ทอรีน